ซัมซุง (Samsung) ประกาศถึงการยุติการสนับสนุนอัปเดตระบบของสมาร์ทโฟนรุ่นเก่าในระดับหนึ่ง Galaxy S9 series อย่างเป็นทางการแล้ว (5 เม.ย. 2565) ได้เวลายุติการใช้งานอย่างเป็นทางการแล้วกับ Samsung Galaxy S9 series (9 – 9+) ที่ได้มีการประกาศออกมาแล้วว่าสมาร์ทโฟนรุ่นนี้นั้น จะไม่ได้รับการอัปเดตของระบบต่าง ๆ ทั้งระบบปฏิบัติการ และระบบรักษาความปลอดภัยของอุปกรณ์อีกต่อไป
โดยสมาร์ทโฟนรุ่นต้นปี 2018 นั้น
ได้ถูกถอดออกจากรายชื่ออุปกรณ์ที่อยู่กลุ่มสนับสนุนการอัปเดตระบบรักษาความปลอดภัยเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ในขณะที่ Galaxy S10 series ที่มีอายุเข้า 3 ปีแล้วนั้น ได้ถูกย้ายจากการอัปเดตแบบรายเดือนไปเป็นในแบบรายไตรมาสแทน
Galaxy S9 series ได้ดำเนินรอยตามรุ่นก่อนหน้านี้ ที่จะถูกปลดออกจากรายชื่อการสนับสนุนอัปเดตระบบซอฟต์แวร์ของอุปกรณ์ หลังจากที่ถูกปรับให้อัปเดตตามไตรมาส โดยการอัปเดตหลักล่าสุดของ S9 นั้น ก็คือ One UI 2.5 ที่ปล่อยไปเมื่อปลายปี 2020
สำหรับคุณสมบัติเด่นที่สำคัญของ Infinix ZERO คือชิป SoC รุ่น Dimensity 900 ที่รองรับ 5G และอัตรารีเฟรชเรทสูง 120Hz และแม้ว่าชิป Dimensity 900 จะเป็นชิป 5G SoC ตัวแรกจาก MediaTek ที่รองรับหน่วยความจำ LPDDR5 แต่สมาร์ตโฟนหลายแบรนด์จะติดตั้งมาพร้อมกับหน่วยความจำ LPDDR4X เท่านั้น แต่ Infinix ได้มีการติดตั้งหน่วยความจำ LPDDR5+UFS3.1 เพื่อความพึงพอใจสูงสุดของลูกค้า และยิ่งไปกว่านั้น ZERO 5G ยังให้หน่วยความจำ RAM สูงถึง 8GB ด้วยเทคโนโลยี Extended RAM ช่วยเพิ่มพื้นที่ว่างในการแคชหน่วยความจำของแอปอีก 5GB ทำให้สามารถเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานหลายอย่างพร้อมกันได้ด้วยหน่วยความจำทั้งหมดประมาณ 13GB ซึ่งช่วยให้ผู้ใช้งานเพิ่มประสิทธิภาพของ RAM ได้ตามความต้องการ จึงช่วยให้การใช้งานแอปพลิเคชันต่าง ๆ หรือการเล่นเกม ทำงานได้อย่างราบรื่น
ด้วยชิปรุ่น Dimensity 900 และรูปแบบฮาร์ดแวร์ที่หลากหลาย ทำให้ Infinix ZERO ได้คะแนน AnTuTu รวมอยู่ที่ 486136 โดยอิงตามผลลัพธ์จากการทดสอบ ด้วยการดึงเอาประสิทธิภาพของ Dimensity 900 มาใช้อย่างเต็มที่ และยังมีคะแนนสมรรถนะด้านอื่นๆ ที่สูงกว่าโทรศัพท์ที่ใช้ LPDDR4X ถึงประมาณ 20% ทำให้ ZERO เป็นอุปกรณ์ที่เหนือกว่าแบรนด์คู่แข่งอื่นๆ ในช่วงราคาเท่ากัน
นอกจากนี้ ที่เก็บข้อมูลแบบแฟลช UFS3.1 ช่วยให้ ZERO 5G มีการจัดเก็บข้อมูลที่เร็วกว่าอุปกรณ์ระดับเดียวกัน ซึ่งช่วยลดเวลาในการดาวน์โหลดและติดตั้งแอปพลิเคชันต่าง ๆ ยิ่งไปกว่านั้น ประสิทธิภาพการจัดเก็บข้อมูลที่รวดเร็วยังช่วยปลดปล่อยศักยภาพของเครือข่าย 5G ได้อย่างสูงสุด ทำให้สมาร์ตโฟนทำงานต่างๆ ได้เร็วขึ้นและผู้ใช้งานได้รับประสิทธิภาพสูงสุด
การทดสอบความเสถียรและการชาร์จ
จากการทดสอบพบว่า ZERO 5G มีการควบคุมอุณหภูมิ และการใช้พลังงานที่น่าสนใจตามมาตรฐานการทดสอบความเสถียรเชิงเปรียบเทียบของ AnTuTu ในด้านความเย็น ความรวดเร็ว และความปลอดภัย โดยหลังการทดสอบ 45 นาที แกนประมวลผลของ CPU ไม่มีการลดลงของประสิทธิภาพ และมีการใช้พลังงานน้อยลง 20% อีกทั้ง อุณหภูมิภายในและภายนอกก็ต่ำมาก ถือได้ว่า ZERO 5G คือหนึ่งในโทรศัพท์ที่ให้การประหยัดพลังงานสูงสุดเท่าที่เราได้ทดสอบ และเป็นตัวแทนบ่งบอกถึงการยกระดับเทคโนโลยีเชิงนวัตกรรมและดีไซน์ไปอีกขั้นจากกลุ่มวิศวกรของ Infinix
นอกจากประสิทธิภาพด้านการประหยัดพลังงานที่ดีเยี่ยมแล้ว ZERO 5G ยังมาพร้อมอะแดปเตอร์ที่รองรับกำลังไฟได้สูงสุด 33W อ้างอิงจากผลการทดสอบจริงที่อุณหภูมิห้อง (ประมาณ 20 องศาเซลเซียส) โดยอะแดปเตอร์สามารถชาร์จโทรศัพท์จาก 1% ถึง 10% ในเวลาเพียง 5 นาที และถึง 88% ในเวลาเพียง 55 นาที และชาร์จเต็มด้วยเวลาเพียง 1 ชั่วโมง 15 นาที นับเป็นความเร็วในการชาร์จที่เร็วมากสำหรับแบตเตอรีขนาด 5000mAh และนอกเหนือจากประสิทธิภาพการชาร์จที่ยอดเยี่ยมแล้ว โทรศัพท์รุ่นนี้ยังได้รับการรับรองจาก TÜV Rheinland ซึ่งมีข้อกำหนดการทดสอบด้านความปลอดภัยที่เหนือกว่าด้วยเช่นกัน
อินฟินิกซ์ ได้ออกแบบสมาร์ตโฟนรุ่น ZERO 5G ให้เป็นอุปกรณ์ที่มีรูปลักษณ์ที่มีสไตล์และสวยงามระดับ พรีเมียม ด้วยหน้าจอขนาดใหญ่ 6.78 นิ้ว พร้อมอัตรารีเฟรชสูงสุด 120Hz และตัวอย่างอัตราการสุ่มแบบสัมผัส 240Hz ซึ่งทำให้หน้าจอสามารถตอบสนองได้อย่างราบรื่น อีกทั้ง ดีไซน์ยังมีความบางโค้งมนแบบ Uni-Curve ที่ทำให้จับได้อย่างถนัดมือ
นอกจากนี้ ดีไซน์ Uni-Curve ของ Infinix Zero ยังได้มีการผสานกล้องหลังเข้ากับฝาด้านหลังของโทรศัพท์ได้อย่างลงตัว โดดเด่นสะดุดตา และแสดงถึงความตั้งใจในการออกแบบที่ยอดเยี่ยม เพื่อตอบโจทย์ทุกลฟ์สไตล์ในทุกการใช้งาน
ZERO 5G เป็นสมาร์ตโฟน 5G ระดับพรีเมียมรุ่นแรกของอินฟินิกซ์ ที่มาพร้อมกล้องหลักสามชุด ประกอบด้วย 48MP AF + 13M AF + 2M FF ซึ่งเมื่อดูค่าตามตัวเลขดังกล่าว จำนวนพิกเซลของ ZERO 5G ไม่ได้สูงมาก แต่สำหรับโทรศัพท์มือถือแล้ว ประสิทธิภาพและอัลกอริทึมของ ISP มักจะมีความสำคัญมากกว่าจำนวนพิกเซล โดยในรุ่นนี้มีโหมด AI ที่มีความไวสูง ซึ่งทำให้การถ่ายภาพมีประสิทธิภาพและได้ภาพคมชัดสวยงามน่าประทับใจ
นอกจากนี้ กล้องมือถือรุ่นนี้ยังมีคุณสมบัติเด่นที่สำคัญ คือ การซูมได้สูงถึง 30 เท่า ที่มีระดับรายละเอียดและความชัดเจนของภาพดีเยี่ยม และด้วยประสิทธิภาพของกล้องความละเอียด 48 ล้านพิกเซล ของ ZERO 5G ยังให้การควบคุมการเปิดรับแสง ที่ช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถถ่ายภาพในที่แสงน้อยได้อย่างมืออาชีพ นอกจากนี้ยังมีค่า ISO ต่ำในโหมดกลางคืน ทำให้ได้สีดำที่เข้มขึ้นและลดสัญญาณรบกวนในภาพ จึงทำให้โทรศัพท์รุ่นนี้แตกต่างไปจากโทรศัพท์ในตลาดรุ่นอื่น ๆ และด้วยสเป็กกล้องรวมถึงคุณสมบัติของซอฟต์แวร์ล้ำหน้าเหล่านี้ ผู้ใช้จะสามารถถ่ายภาพได้ทั้งในเวลากลางวันและกลางคืน
Credit : ที่เที่ยวญี่ปุ่น | จัดอันดับต่างๆ | รีวิวของแบรนเนม | วิธีการลงทุนต่าง